ริ้วรอยใต้ตา บอกลาได้ด้วย 7 วิธี
อวัยวะที่ใช้สื่ออารมณ์ของเราได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นดวงตาหน้าตาของหัวใจ ต่อให้เราจะพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจออกไป สุดท้ายดวงตาก็จะสื่อฟ้องออกมาได้อยู่ดี ทั้งเรื่องของความสุข ความทุกข์ หรือความวิตกกังวลใจอะไรก็ตาม เมื่อมองดวงตาแป๊บเดียวก็รู้แล้ว จึงไม่แปลกหากคนเราจะใช้ดวงตาในการสื่อสารความรู้สึก แต่ทว่าหากดวงตาของเรากลับเต็มไปด้วยริ้วรอยรอบดวงตาเวลาที่ใครมองมาก็เห็นได้เด่นชัดย่อมสร้างความไม่มั่นใจให้กับเรามากเลยทีเดียว ริ้วรอยใต้ตา ถือได้ว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ไม่ได้พบเจอแค่คนสูงวัยแต่ในกลุ่มหนุ่มสาววัยทำงานก็อาจเกิดปัญหานี้ขึ้นได้เช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่ตัวเลขอายุของเราเริ่มเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของผิวหนังก็ยิ่งย่นลง รวมทั้งการสร้างคอลลาเจนก็น้อยลงตามไปไม่นุ่มชุ่มชื้นเหมือนกับตอนยังเป็นวัยแรกรุ่น
ฉะนั้นริ้วรอยใต้ตาจึงเป็นตัวบ่งบอกของวัยที่เพิ่มมากขึ้นที่ชัดเจนที่สุดบนใบหน้าของเราโดยมีสาเหตุหลักๆอยู่หลายปัจจัยด้วยกันทั้งที่เกิดจากพฤติกรรมของเราเองเช่นพฤติกรรมชอบขยี้ตาหรือถูตารุนแรง, การแสดงอารมณ์ต่างๆบนใบหน้าที่มักเผลอทำอยู่เป็นประจำบ่อยๆอาการภูมิแพ้, อาหารการกินหรือไลฟ์สไตล์ส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไปรวมทั้งการที่ร่างกายผลิตคอลลาเจน-อีลาสตินและกรดไฮยาลูรอนในผิวที่ลดลงซึ่งจากปัจจัยทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนสำคัญของการเกิดริ้วรอยใต้ตาปรากฎบนใบหน้าอย่างชัดเจน
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านเลย ไฮยาลูรอน คืออะไร
แต่สาวๆจ๋าอย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ.. เพราะเราสามารถที่จะปกป้องรอบดวงตาให้ห่างไกลจากริ้วรอยได้ด้วย 7 วิธีที่เรานำมาฝากกันค่ะ
1.ดูแลให้ความสำคัญผิวรอบดวงตา
- เป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยใต้ตาอาทินั่งหน้าจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือกับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวานานานๆ, การนอนหลับพักผ่อนน้อย, ไม่ระมัดระวังเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตา, เวลาออกแดดไม่สวมแว่นตาหรือทาครีมกันแดดป้องกัน, ถูขยี้ตาอย่างรุนแรง, ไม่หมั่นทาครีมบำรุงรอบดวงตาเป็นประจำผิวรอบดวงตาจึงขาดความชุ่มชื้นรวมทั้งการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์บริโภคอาหารที่มีรสเค็มมาเกินไปซึ่งนอกจากจะหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงอันเป็นต้นเหตุของริ้วรอยใต้ตาเหล่านี้แล้วการหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยทำให้ผิวหนังกระชับเต่งตึงเพิ่มขึ้น, งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่พร้อมกับการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ที่สำคัญคืองดบริโภคอาหารที่มีรสเค็มหรือในกรณีที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคภูมิแพ้แนะนำว่าควรเลือกรักษาโรคภูมิแพ้ให้หายเสียก่อนเพราะหนึ่งในอาการของโรคคือจะคันบริเวณรอบดวงตาทำให้ต้องขยี้ตาบ่อยขึ้นและแน่นอนว่าจะส่งผลให้เกิดริ้วรอยใต้ตาในที่สุด
2.หมั่นใช้ครีมบำรุงรอบดวงตา
- สาเหตุหลักของการเกิดปัญหาริ้วรอยใต้ตาคือผิวขาดความชุ่มชื้น, อายุที่เพิ่มมากขึ้นรวมถึงผิวที่อยู่รอบๆบริเวณดวงตาจะมีปริมาณไขมันต่ำจึงทำให้ผิวใต้ตาแห้งได้ง่ายมากกว่าปกติฉะนั้นการป้องกันริ้วรอยใต้ตาอีกหนึ่งวิธีคือการหันมาดูแลผิวบริเวณนี้เป็นพิเศษโดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติสำหรับใช้บำรุงผิวรอบดวงตาเป็นการเฉพาะซึ่งจะได้แก่ครีมบำรุงจำพวกที่มีส่วนผสมของมอยเจอไรเซอร์เพื่อที่จะได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาหรือส่วนผสมอื่นๆที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอยหย่อนคล้อยยิ่งหากเป็นคนที่ต้องทำงานเจอแสงแดดกลางแจ้งบ่อยๆยิ่งต้องเลือกใช้ครีมที่เพิ่มส่วนผสมของสารกันแดดเข้าไปด้วยเพื่อจะได้เพิ่มประสิทธิภาพของการปกป้องผิวรอบดวงตาไม่ให้เกิดริ้วรอยใต้ตามากขึ้นไปอีก
3.ฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
- เป็นวิธีรักษาริ้วรอยใต้ตาที่ได้รับความนิยมอีกวิธียิ่งโดยเฉพาะรอยที่มีลักษณะเป็นริ้วเล็กๆและพวกรอยตีนกาจะเห็นผลได้ดีที่สุดหลังจากฉีดไปแล้ว1-2 สัปดาห์ซึ่งคุณสมบัติของโบท็อกซ์เมื่อฉีดเข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัวชั่วขณะจึงเป็นผลให้ริ้วรอยต่างๆดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดเจนแต่ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์คือต้องไปฉีดซ้ำทุกๆ6-8 เดือนส่วนการฉีดต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ฉีดให้เท่านั้นเพราะนอกจากจะปลอดภัยแล้วการที่ฉีดมากเกินไปจะทำให้ใต้ตาดูตึงเปรี๊ยะแถมเวล่ยิ้มยังดูไม่เป็นธรรมชาติอีกด้วย
4.เลเซอร์ใต้ตา
- เป็นการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ในกลุ่มลดริ้วรอย(เช่นVbeamlaser)เข้าไปซ่อมแซมริ้วรอยใต้ตาและช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนซึ่งจะเห็นผลได้ดีกับริ้วรอยประเภทที่ไม่ลึกเท่าไหร่ในการเลือกใช้เลเซอร์รักษานั้นสามารถรู้สึกว่าริ้วรอยตื้นขึ้นตั้งแต่หลังทำครั้งแรกและจะเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ
5.ใช้คลื่นวิทยุ ( Radio Frequency -RF)
- เป็นวิธีลดริ้วรอยใต้ตาที่มาช่วยเสริมการรักษาในรูปแบบอื่นๆอาทิการฉีดโบท็อกซ์, รักษาด้วยเลเซอร์เป็นต้นซึ่งการใช้คลื่น RF มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาริ้วรอยได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นริ้วรอยผิวหนังหย่อนคล้อยบนใบหน้าหรือลดริ้วรอยรอบดวงตาก็เห็นผลได้อย่างชัดเจนโดยมีหลักการทำงานง่ายๆด้วยการใช้ความร้อนปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อนๆออกมาในรูปของคลื่นความถี่วิทยุทำให้อุณหภูมิของผิวหนังในชั้นแทนเพิ่มขึ้นส่งผลให้คอลลาเจนในผิวเกิดการกระชับตัวและยังช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนได้ในระยะยาวซึ่งนวัตกรรมในการรักษายอดนิยมจะได้แก่Thermage, UltheraและHifu
6.มาส์กหน้าด้วยแตงกวา
- เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่ของสาวๆเพราะทำด้วยตัวเองได้ง่ายๆคือการนำแตงกวาแช่เย็นพอประมาณมาฝานให้เป็นแว่นๆแล้วเอามาโป๊ะมาส์กไว้ที่ผิวบริเวณรอบดวงตาทิ้งไว้ประมาณ15 – 20 นาทีซึ่งวิธีนี้สามารถช่วยให้ดวงตาเกิดความผ่อนคลายและยังลดริ้วรอยใต้ตาได้อีกด้วยนอกจากนั้นสาวๆคนไหนที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตาหรืออาการตาบวมก็สามารถช่วยได้เช่นกัน
7.พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลายคนคงพอจะทราบดีอยู่แล้วว่าการนอนดึกหรือนอนน้อยมีผลต่อสุขภาพร่างกายโดยเฉพาะรอบดวงตาทำให้รู้สึกเมื่อยอ่อนล้าและสุดท้ายก็เกิดริ้วรอยใต้ตาหรือตีนกานั่นเองเพราะอย่างนั้นการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่วันจึงเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายๆด้วยการนอนหลับให้สนิทอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงก็จะช่วยให้ผิวรอบดวงตามีสุขภาพแข็งแรงขึ้นได้แล้ว
คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านเลย อิมัลชั่น คืออะไรเรื่องที่สาวๆควรรู้
สำหรับใครที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตาแนะนำให้ลองนำวิธีข้างต้นไปลองใช้ดูซึ่งมีทั้งวิธีที่นำธรรมชาติมาใช้ในการรักษาหรือจะพึ่งพาเทคโนโลยีมาใช้ก็ล้วนแล้วแต่จัดการปัญหาริ้วรอยใต้ตาได้ทั้งนั้นแถมยังเป็นการช่วยบำรุงให้ผิวรอบๆดวงตากระชับเต่งตึงมากขึ้นอีกด้วยรับรองได้เลยว่าสาวๆจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน