ไฮยาลูรอน คืออะไร

8239 0

ไฮยาลูรอน คืออะไร

สาวๆที่ให้ความสนใจเรื่องของความสวยความงามอาจจะพอเคยได้ยินเคล็ดลับความงามกับคำว่า “ไฮยาลูรอน”กันมาบ้างแล้ว แต่ถึงแม้จะเคยได้ยินก็คงอดขมวดคิ้วคิดตามไม่ได้ว่า แล้วเจ้าไฮยาลูรอนคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรกับสาวๆกันแน่ ??

ในปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรงแบบสุดๆไม่น้อยหน้าคอลลาเจนเลยคงหนีไม่พ้นไฮยาลูรอน เพราะคุณสมบัติที่ช่วยเรื่องชะลอผิว ลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ผิวพพรรณดูเต่งตึง เนียนใส ได้อย่างน่าทึ่ง !! แต่ทว่าจะช่วยได้จริงหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบมาให้สาวๆคะ

“ไฮยาลูรอน” หรือ ไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid : HA)​ คือ กรดที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำไขข้อซึ่งน้ำไขข้อจะเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆเช่น น้ำเลี้ยงลูกตา และน้ำหล่อลื่นบริเวณส่วนต่างๆทั่วร่างกาย อีกทั้งยังช่วยลดการเสียดสีของข้อต่อ และยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับอวัยวะและเซลล์ต่างๆอีกด้วย จึงมีประโยชน์ด้านการป้องกันอาการบาดเจ็บ แถมทำให้แผลสมานหายได้ไวขึ้น

แล้วไฮยาลูรอนเกี่ยวข้องกับด้านความงามอย่างไร กล่าวคือไฮยาลูรอนจะถูกร่างกายสร้างขึ้นมาที่บริเวณผิวหนังชั้นล่าง (Dermis)​ และผิวหนังชั้นบน (Epidermis)​ ซึ่งกรดนี้จะกระจายไปทั่วร่างกาย โดยเมื่อกรดนี้เข้าไปทำงานเชื่อมต่อระหว่างชั้นผิว ส่งผลให้โปรตีนคอลลาเจน และอีลาสตินกลายเป็นฮีโร่มาช่วยเพิ่มความสดใสอ่อนวัย ยืดหยุ่น กักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว ดูมีน้ำมีนวล ผิวไม่แห้งกร้าน และมาถึงข้อที่ถูกใจสาวๆสุดๆๆคือ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยล่ะ

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านเลย ริ้วรอยใต้ตา บอกลาได้ด้วย 7 วิธี

ไฮยาลูรอนในร่างกาย

อย่างที่สาวๆคงทราบกันดีแล้วว่าเมื่ออายุล่วงเลย 30 ปีขึ้นไป ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมสภาพลง รวมทั้งผลิตสารต่างๆภายในร่างกายได้น้อยลง ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงการผลิตกรดไฮยาลูรอนด้วย และนอกจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ปัจจัยทางด้านสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกก็มีส่วนกระตุ้นให้ร่างกายลดการผลิตสารนี้ลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ปัจจัยที่ว่าจะได้แก่ การดื่มแอลกอฮอล์, การสูบบุหรี่, ความร้อน, แสงแดดจากรังสียูวี, นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น

เมื่อร่างกายของเราผลิตกรดไฮยาลูรอน และคอลลาเจนในชั้นผิวได้น้อยลง ก็จะส่งผลให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น หยาบกร้าน ผิวขาดความยืดหยุ่น ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อย เกิดริ้วรอย และร่องลึกตามร่องแก้ม หรือส่วนอื่นๆของใบหน้า เรียกได้ว่าความแก่ปรากฎขึ้นมาอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

แต่ด้วยปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปมาก นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้พยายามคิดค้น”กรดไฮยาลูโรนิคสังเคราะห์”ขึ้นมาจนเป็นผลสำเร็จ วัตถุประสงค์ก็เพื่อนำมาทดแทนกรดไฮยาลูรอนที่ร่างกายสร้างได้น้อยลง เริ่มแรกเดิมทีก็ใช้เป็นยาประเภทฉีด บำบัดรักษาอาการโรคข้อเข่าเสื่อม, ข้อไหล่อักเสบ ต่อมาก็ถูกพัฒนาขึ้นเป็นน้ำตาเทียมช่วยในการหล่อลื่นลูกตา และสุดท้ายถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเวชสำอางอย่างเช่นที่สาวๆได้ใช้กันทุกวันนี้

ไฮยาลูรอน

ประโยชน์ที่ได้จากไฮยาลูรอน

  1. ด้วยคุณสมบัติของไฮยาลูรอนที่พร้อมช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวขาดสมดุล แห้ง แตก ลอกเป็นขุย และนอกจากนั้นยังช่วยอุ้มกักเก็บน้ำทำให้กับผิวสดชื่นได้อย่างยอดเยี่ยม
  2. ช่วยฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน ชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง แลดูมีออร่า หน้าตึงกระชับ และยังปกป้องผิวที่เกิดจากการระคายเคืองอีกด้วย
  3. ช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับผิว ( Filler)​ ด้วยสารเติมเต็มที่มีความบริสุทธ์สูง
  4. ช่วยลดอาการอักเสบพร้อมซ่อมแซมผิวที่โดนทำลาย และยังช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูเซลล์หลังจากที่แผลหาย รวมทั้งรักษาแผลในปากได้อย่างชะงัก
  5. ช่วยรักษาต้อกระจก พร้อมบรรเทาอาการตาแห้ง
  6. สามารถฉีดที่ใบหน้าเพื่อแก้ปัญหาจุดบกพร่องต่างๆ ซึ่งไม่ทำให้เกิดอันตรายเพราะสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ
  7. ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระดูก บรรเทาอาการปวดข้อสาเหตุมาจากข้อเข่าเสื่อม
  8. ช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระ และยังช่วยกรองรังสี UV ปกป้องผิวจากแสงแดด

ไฮยาลูรอนกับปัญหาริ้วรอย

จากคุณสมบัติทั้งหมดของไฮยาลูรอน สามารถยืนยันได้ว่ากรดไฮยาลูรอนมีส่วนสำคัญในการจัดการริ้วรอยได้อย่างเห็นผลชัดเจน ส่งผลให้วงการด้านความสวยความงามนำประโยชน์ของกรดไฮยาลูรอนมาใช้เสริมความสมบูรณ์ของผิว พร้อมแก้ปัญหาข้อบกพร่องต่างๆโดยแบ่งออกได้ 2 วิธีแบบชัดๆ คือ

  1. นำมาใช้เป็นส่วนผสมของเซรั่ม/ครีมบำรุงผิวหน้า

กรดไฮยาลูรอนได้ถูกนำเข้ามาจากหลายประเทศด้วยกันทั้ง จีน, ญี่ปุ่น, อเมริกา และยุโรป ส่วนขั้นตอนในการสังเคราะห์หรือคุณภาพของกรดก็มีความแตกต่างกันออกไป รวมถึงเรื่องราคาด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากใครสนใจอยากจะซื้อไฮยาลูรอนมาใช้ก็ควรพิจารณาศึกษารายละเอียดให้ดีเสียก่อน

  1. นำเข้าสู่ผิวโดยตรงด้วยการฉีดฟิลเลอร์

แพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านเสริมความงามส่วนใหญ่จะใช้วิธีการฉีดกรดไฮยาลูรอนสังเคราะห์เพื่อไปช่วยแก้ปัญหาจุดบกพร่องบริเวณต่างๆบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม, ใต้ตา หรือสามารถนำไปใช้ในเรื่องของการปรับเปลี่ยนโครงหน้า เช่น เติมโหนกแก้ม, เติมคาง ให้ดูมีมิติมากขึ้น ซึ่งกรดไฮยาลูรอนจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย เพราะสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ตามปกติฉีดฟิลเลอร์ 1 ครั้ง สารจะอยู่ชั้นใต้ผิวหนังได้นานถึง 6 เดือนแต่ด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่อาจช่วยให้สารอยู่ได้นานมากขึ้นถึง 12 เดือน

คุณอาจสนใจบทความนี้ อ่านเลย อิมัลชั่น คืออะไรเรื่องที่สาวๆควรรู้

ความปลอดภัยและผลข้างเคียงของไฮยาลูรอน

อย่างที่สาวๆทราบกันดีอยู่แล้วว่ากรดไฮยาลูรอนสามารถสลายลงไปได้เองตามธรรมชาติจึงจัดได้ว่าค่อนข้างปลอดภัยเพียงแต่แค่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมทั้งการทาลงบนผิวหนังหรือฉีดเข้าร่างกาย หากใช้เป็นครีมบำรุงผิวแนะนำว่าให้เลือกใช้กรดไฮยาลูรอนเข้มข้นที่ไม่ต่ำกว่า 2% โดยเพราะสาวๆที่มีผิวบอบบางอาจเกิดอาการแพ้ได้

ส่วนใครที่เลือกรับประทานเป็นอาหารเสริม อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงกับสาวๆบางคนได้ จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือในภาวะที่ต้องให้นมบุตรก็ควรหลีกเลี่ยงออกไปก่อน เพราะถึงแม้ไม่มีผลพิสูจน์ยืนยันว่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ ทางที่ดีจึงป้องกันไว้ก่อนก็ย่อมดีกว่าแน่นอน

หัวเชื้อไฮยาลูรอนเข้มข้น

สำหรับสาวๆที่สนใจอยากทดลองใช้กรดไฮยาลูรอนสังเคราะห์ในการบำรุงผิวหน้าแต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง วันนี้เราจึงได้รวบรวมขั้นตอนการนำหัวเชื้อไฮยาลูรอนเข้มข้นมาจากในเว็บดังอย่าง pantip มาให้สาวๆผสมเลือกสูตรได้ตามความพึงพอใจ โดยเราได้นำเอา 3 ยี่ห้อดังจากญี่ปุ่นมาฝากกันคร๊าา..

  1. Thaiyo No Aloe Hyaluronic Acid 10 ml. ราคา 299 บาท (เนื้อหนืดมากลักษณะคล้ายกาวน้ำ)​

สำหรับไฮยาลูรอนตัวแรกมีส่วนผสมที่เข้มข้นบริสุทธิ์มาก และว่านหางจระเข้ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี แถมตัวนี้ยังได้รับรางวัลอันดับ 1 จาก Cosme อีกด้วยล่ะ

  1. SOS Hyaluron X3 Concentrate Serum 110 ml. ราคา 199 บาท (เนื้อคล้ายกับเซรั่ม)​

ไฮยาลูรอนเข้มข้นบริสุทธิ์ตัวนี้จะแตกต่างจากตัวอื่นๆเพราะมีส่วนผสมของไฮยาลูรอนถึง 3 ชนิดที่ให้ขนาดโมเลกุลแตกต่างกัน จึงช่วยในการซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากกว่าชนิดอื่น โดยเฉพาะตัวเอกอย่าง นาโนไฮยาลูรอน ที่มีขนาดของโมเลกุลเล็กกว่าตัวอื่นถึง 100 เท่า ส่งผลให้ทำหน้าที่เคลือบผิวได้ล้ำลึก เห็นผลได้เร็วขึ้น ใบหน้าฉ่ำน้ำ รูขุมขนกระชับขึ้น และยังลดการผลิตน้ำมันเท่ากับว่าช่วยลดสิวไปได้ในตัว

  1. Mainichi Plus Pure Hyaluronic Acid 15 ml. ราคา 269 บาท (เนื้อหนืดปานกลาง)​

ตัวสุดท้ายเป็นเอสเซนส์ไฮยาลูรอนชนิดเข้มข้น 100% ที่ไม่ผ่านการเจือจางจึงบริสุทธิ์มากๆ คุณสมบัติของตัวนี้จะเน้นช่วยบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้น รวมทั้งยังกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ไม่แห้งตึงหยาบกร้าน ผิวแลดูละเอียดมากขึ้น

ไฮยาลูรอน คืออะไร

การใช้งานไฮยาลูรอนของแต่ละยี่ห้อ

โดยไฮยาลูรอนแต่ละยี่ห้อนั้น สามารถใช้งานได้ทั้งทาเดี่ยวๆแบบโลชั่น, เอสเซนส์ หรือเซรั่มก็ได้ แต่สาวๆบางคนอาจจะนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวอื่น  ซึ่งก็จะให้ผลแตกต่างกันออกไป ส่วนจะดีอย่างไรมาดูกันดีกว่า เผื่อเป็นไอเดียให้สาวๆไปลองทำตามในรีวิว pantip กันบ้าง

  • Thaiyo No Aloe Hyaluronic Acid
  1. ผสมกับ Skincare เนื้อครีม : จะช่วยให้ได้เนื้อครีมบางเบาขึ้นเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกหนืดอยู่บ้าง จึงซึมลงสู่ผิวได้ไวขึ้นปานกลาง สาวๆทาได้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นแบบฉ่ำๆ
  2. ผสมกับ Skincare เนื้อเจล : ช่วยให้เนื้อเจลหนืดเพิ่มมากขึ้น เมื่อนำไปทาจะสัมผัสเหมือนผิวโดนเคลือบมากขึ้น เหมาะกับสาวๆที่ชอบกักเก็บน้ำไว้กับผิว
  3. ผสมลงไปในโฟมล้างหน้า : ช่วยให้เวลาล้างหน้าแล้วผิวจะไม่รู้สึกแห้งตึง
  4. ผสมลงไปกับแชมพู : ช่วยให้ผมชุ่มชื้นขึ้น และอาจช่วยรักษาอาการผมร่วงได้อีกทาง
  • SOS Hyaluron X3 Concentrate Serum
  1. ผสมกับ Skin เนื้อครีม : ส่งผลให้เนื้อครีมที่ลักษณะข้นๆเบาบางมากขึ้น อย่างที่กล่าวในข้างต้นว่า ไฮยาลูรอนยี่ห้อนี้เนื้อคล้ายเซรั่ม พอผสมเข้าด้วยกันก็จะได้เนื้อครีมเข้มข้นออกเหลวเล็กน้อย เวลาทาจึงง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาวอร์มนาน ซึมเข้าผิวได้ง่าย
  2. ผสมลงใน Skincare เนื้อเจล : จะให้ความรู้สึกฉ่ำน้ำ เพราะสกินแคร์ประเภทนี้จะเน้นเรื่องความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าอยู่แล้ว เมื่อมาเติมหัวเชื้อไฮยาลูรอนเข้าไปก็ยิ่งช่วยให้ผิวฉ่ำน้ำมากขึ้น สามารถรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทา แถมช่วยกักเก็บน้ำให้กับผิวอีกขั้นหนึ่ง
  3. ทาบำรุงใต้ตา : สาวคนไหนที่มีปัญหาผิวใต้ตาเป็นร่องลึก สามารถใช้ไฮยาลูรอนหัวเชื้อในการบำรุงได้เลย เพราะคุณสมบัติเด่นๆคือช่วยเคลือบผิวฉะนั้นก็จะเข้าไปช่วยเติมเต็มริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องง้อครีมทาใต้ตาแพงๆอีกต่อไป
  • Mainichi Plus Pure Hyaluronic Acid
  1. ผสมลงใน Skincare เนื้อครีม : จะช่วยให้เนื้อครีมที่เข้มข้นบางเบาลงได้ในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่ค่อยเนียนผสมเป็นเนื้อเดียวกันเสียเท่าไหร่ เพราะว่าไฮยาลูรอนของยี่ห้อนี้จะมีความหนืดปานกลาง แต่ช่วยให้ทาครีมได้ง่ายขึ้น
  2. บำรุงผม : สำหรับไฮยาลูรอนตัวนี้นอกจากจะใช้เพื่อบำรุงใบหน้าแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผม ลดอากรแตกปลาย แก้ปัญหาผมเสีย ใครที่กลัวว่าจะเหนียวบอกเลยว่าตัวนี้ใส่ปลายผมแล้วไม่รู้สึกเหนียวแถมช่วยให้ผมดูเรียบเนียนสวย สุขภาพดีขึ้น ไม่รีบแบนอีกต่างหาก

เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับสารพันประโยชน์ของไฮยาลูรอน เรียกได้ว่าบำรุงได้ทั้งผม,ใบหน้า  เพิ่มความชุ่มชิ้นชนิดจัดเต็ม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ ใครที่ไม่สะดวกจะนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ก็สามารถหาซื้อที่ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่ามีไฮยาลูรอนเป็นส่วนผสมก็ได้เหมือนกันคะ